จากสถิติในประเทศไทย พบว่าเพศชายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีโอกาสเกิดโรคต่อมลูกหมากโตถึง 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 และพบได้ถึงร้อยละ 50 ในชายวัย 60 ปีขึ้นไป และยิ่งพบสูงขึ้นเป็นร้อยละ 90 ในชายที่อายุยืนยาวถึง 80 ปีขึ้นไป โดยอุบัติการณ์ของโรคจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงอาการเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป และเป็นภาวะที่สามารถรักษาได้ โดยโรคต่อมลูกหมากโตมักจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาในการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ ปัสสาวะสะดุด ในบางรายที่มีอาการรุนแรงมาก อาจจะทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้ อาการเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก
ทีมแพทย์ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นำโดย นพ. วิโรจน์ ชดช้อย หัวหน้าศูนย์ทางเดินปัสสาวะ และแพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ เป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) ของบำรุงราษฎร์ ที่ให้การดูแลรักษาโรคเฉพาะทางอย่างครอบคลุม ได้นำเทคโนโลยีทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะลำบาก เกิดจากโรคต่อมลูกหมากโต (benign prostatic hyperplasia: BPH) โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านท่อปัสสาวะ เข้าไปยังต่อมลูกหมาก หลังจากนั้นแพทย์จะฉีดไอน้ำที่มีอุณหภูมิ 103 องศาเซลเซียสเข้าไปในต่อมลูกหมากประมาณ 4-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดของต่อมลูกหมาก การฉีดแต่ละครั้งใช้เวลาเพียง 9 วินาที ไอน้ำจะกระจายเข้าไประหว่างเซลล์ของต่อมลูกหมาก ทำให้เซลล์ที่อุดตันท่อทางเดินปัสสาวะตายไป (Apoptosis) และร่างกายจะกำจัดเซลล์ที่ตายออกไปตามธรรมชาติ และในที่สุดต่อมลูกหมากจะหดตัวมีขนาดเล็กลงและท่อปัสสาวะจะกว้างขึ้น ทำให้ปัสสาวะได้เป็นปกติ ซึ่งวิธีนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่หายเป็นปกติภายใน 6 สัปดาห์ ภายหลังการรักษา”
นพ. วิโรจน์ ชดช้อย กล่าวเพิ่มเติมว่า “การรักษาต่อมลูกหมากโตที่นิยมกันทั่วไป คือ การใช้ยาและการผ่าตัด แต่ปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้ผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัดและไม่ต้องการกินยาเพราะกลัวผลข้างเคียง มีทางเลือกมากขึ้น โดยเทคโนโลยีการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ ได้มีผลงานวิจัยรองรับว่ามีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2558 และได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย ข้อดีที่สำคัญ คือ เป็นการรักษาที่ไม่มีบาดแผลภายนอก (minimally invasive treatment) และมีความปลอดภัยกว่าวิธีการรักษาอื่นๆ ที่มีการรุกล้ำอวัยวะมากกว่า เพราะใช้เพียงไอน้ำในการรักษาและใช้เวลาในกระบวนการรักษาประมาณ 10-15 นาที มีผลข้างเคียงต่อสมรรถภาพทางเพศน้อยมากหรือไม่มีผล มีการใช้ยาระงับความรู้สึกน้อย สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยที่ไม่ต้องนอนค้างคืนที่โรงพยาบาล รวมถึงสามารถบรรเทาอาการของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญและยาวนาน ทำให้อัตราการไหลของปัสสาวะดีขึ้นตลอดระยะเวลา 5 ปี และติดตามผลทุก 2-5 ปี”
ทั้งนี้ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะจะเป็นผู้พิจารณาสภาวะโรคของผู้ป่วย ได้แก่ อาการ ลักษณะการไหลของปัสสาวะ ขนาดและรูปร่างของต่อมลูกหมาก ว่าเหมาะสมกับการรักษาด้วยวิธีนี้หรือไม่ โดยศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ประกอบด้วยแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการด้านทางเดินปัสสาวะ และปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง มีการวิเคราะห์ที่ถูกต้องแม่นยำ ทันท่วงที พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีความชำนาญและใส่ใจในการรักษา โดยเน้นวิธีการรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อย และหากต้องทำการผ่าตัดก็จะเป็นเพียงการผ่าตัดเล็กๆ แต่ให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลราษฎร์ ชั้น 16 อาคาร A (คลินิก) หรือโทร. 0-2066 8888, 06-1409 3943 (Hotline) หรือโทร.1378