สิงห์ เอสเตท รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 4,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% YoY และกำไรสุทธิ จำนวน 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% YoY เป็นผลมาจากการเติบโตของผลประกอบการในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะความสำเร็จของการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ที่ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี รวมถึงกลยุทธ์ของธุรกิจโรงแรมในการผลักดันอัตราค่าห้องพัก และรายได้ที่ไม่ใช่ห้องพักเพิ่มตามเป้าหมาย เพื่อชิงโอกาสจากกระแสการใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องตามแผนกลยุทธ์ที่ตั้งไว้
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,034 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 997 ล้านบาท มีการเติบโตเด่นกว่าเท่าตัว สืบเนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ (1) การรับรู้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ภายหลังการพัฒนาที่ดินและระบบสาธารณูปโภคแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566 (2) การเริ่มต้นโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไตรมาสแรกของโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ ขณะที่รายได้จากธุรกิจให้บริการจำนวน 3,037 ล้านบาท ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก (1) รายได้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าที่เติบโต 12% จากปีก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของอัตราการปล่อยเช่าอาคาร S-OASIS เสริมทัพด้วย (2) รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า จากการมีห้องพักรูปแบบใหม่มานำเสนอ สามารถผลักดันให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ทั้งพอร์ตเติบโตขึ้น 24% จากปีก่อนหน้า บรรลุเป้าหมายตามแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่ตั้งไว้
โดยในไตรมาสดังกล่าว สิงห์ เอสเตท มีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งทั้งโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรม 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS Maldives ที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้มีอัตราเข้าพักสูงถึง 89% และสามารถบริหาร ADR เพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาส 1 ปี 2566 เช่นเดียวกันกับโรงแรมในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ที่มีการปรับปรุงโรงแรมช่วงปีก่อน จึงมีความโดดเด่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เน้นการสัมผัสประสบการณ์ เป็นผลให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) เติบโตขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากผลการดำเนินงานที่บรรลุตามเป้าหมายตามแผนแล้ว ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ด้วยยอดจองซื้อรวมมูลค่า 1,000 ล้านบาท เพื่อการขับเคลื่อนผลประกอบการและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น สิงห์ เอสเตท ยังมุ่งมั่นและตั้งใจดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อส่งมอบคุณค่าและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการการันตีความสำเร็จ และสิงห์ เอสเตท ได้รับรางวัล Thailand’s Most Admired Company ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากนิตยสาร BrandAge ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (Sustainable Development) อีกเช่นกัน
คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า “ผลประกอบการในไตรมาส 1 นับเป็นผลประกอบการที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จที่สิงห์ เอสเตท ตั้งใจส่งมอบให้ลูกค้ามาโดยตลอด เพื่อสร้างคุณค่าและการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับ ‘Best in Class’ รวมถึงกลยุทธ์พัฒนาประสิทธิภาพของสินทรัพย์ในทุกพอร์ตโฟลิโอตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ทุกผลิตภัณฑ์ของสิงห์ เอสเตท ได้รับความเชื่อมั่นและการตอบรับที่ดีจากตลาดในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์และบริการ โดยสะท้อนจากการเปิดตลาดใหม่ที่ประสบผลสำเร็จจากหลายโครงการ อาทิ โครงการ สริน ราชพฤกษ์ สาย 1, โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ ตลอดจนโครงการ นิคม อุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จจากการลงทุน และสร้างคุณค่าเพิ่มของสิงห์ เอสเตทได้เป็นอย่างดี”
“นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงแรมในหลาย ๆ ประเทศที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ มีสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องจากในไตรมาสที่ 1 ที่มียอดจองห้องพักในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกของเรา ทั้งการเพิ่มช่องทางการขายให้สามารถเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ มากขึ้น และกลยุทธ์การตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของโรงแรม SO/ Maldives โดยเป็นโรงแรม Luxury แห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปในปลายปี 2566 เริ่มมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานที่วางไว้ได้ในปี 2567”
สิงห์ เอสเตท มีความมั่นใจในการผลักดันรายได้สูงสุดใหม่ภายในปีนี้ แตะ 18,000 ล้านบาท ให้ได้สำเร็จ ด้วยสัญญาณการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปลายปี 2566 ของธุรกิจที่พักอาศัย อาทิ โครงการบ้านแบรนด์ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซสและสริน รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้ของ โครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ ในช่วงท้ายของไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 สิงห์ เอสเตท พร้อมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ SHAWN ปัญญาอินทรา และ SHAWN วงแหวนจตุโชติ บ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ Premium Luxury เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ในทำเลศักยภาพย่านรามอินทรา นอกจากนี้ในช่วงท้ายของปี บริษัทฯ วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการ และโครงการคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ส่งผลให้สิ้นปี 2567 บริษัทฯ จะมีโครงการที่พัฒนาและรอการขายรวมทั้งหมด 14 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 37,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ธุรกิจที่พักอาศัยในปี 2567 เพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากยอดขายที่รอการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ที่อยู่ในมืออีกราว 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยส่งมอบและรับรู้เป็นรายได้เข้ามาภายในปี 2567
โดยอีกหนึ่งแรงหนุนสำคัญในการขับเคลื่อนผลประกอบการของสิงห์ เอสเตท คือธุรกิจโรงแรมที่ขยายตัวไปพร้อมกับการท่องเที่ยวทั่วโลก มีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้ง และตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ซึ่งโดดเด่นทั้งในด้านประสบการณ์เข้าพักที่ตอบโจทย์กระแสนิยมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experiential Tourism) ในปัจจุบัน และการพักผ่อนอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Ecotourism) ตลอดจนการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่น่าประทับใจ มากไปกว่านั้นในปี 2567 นี้ ยังมีกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ โดยการปรับปรุงโรงแรมศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทย และพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร รวมไปถึงแผนการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน
คุณฐิติมาเสริมว่า “สำหรับอีก 2 สินทรัพย์ ที่อยู่ในช่วงการขยายตลาด ได้แก่ อาคารสำนักงานเอส โอเอซิส และการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง สามารถต่อยอดจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การทยอยเข้าใช้พื้นที่ของผู้เช่ารายหลัก และการทำการตลาดแบบเฉพาะเจาะจงในแต่ละอุตสาหกรรม จะช่วยผลักดันให้อัตราเร่งในการขายพื้นที่ในระยะถัดไปมีแนวโน้มที่ดียิ่งขึ้น จะส่งผลให้ผลประกอบการของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน สร้างรายได้ตามเป้าหมาย สำหรับสิงห์ เอสเตทแล้ว ในปี 2567 นี้ ถือเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลผลิต จากรากฐานและโครงการลงทุนที่บริษัทฯ ได้พัฒนาไว้ในช่วง 2 – 3 ปีก่อน เราจึงมีความมั่นใจต่อการบรรลุเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทฯ สู่ระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ด้วยอัตราการทำกำไรที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และการรักษาระเบียบวินัยทางการเงินได้อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วน”