ปตท. เผยผลการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 24-28 ก.ค. 66 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 31 ก.ค.-4 ส.ค.66 โดยตลาดน้ำมันสำเร็จรูปเบรนท์ (ICE Brent) ราคา 83.71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ปรับลดราคาลง +4.05 ตลาดน้ำมันสำเร็จรูป เวสท์เท็กซัสฯ (NYMEX WTI) ราคา 79.56 เหรียญต่อบาร์เรล ปรับราคาเพิ่มขึ้น +3.97 เหรียญ สหรัฐฯ ตลาดน้ำมันสำเร็จรูปดูไบ (Dubai) ราคา 83.97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ บาร์เรล ปรับราคาเพิ่มขึ้น +3.40 เหรียญ สหรัฐฯ ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปซื้อซื้อขายล่วงหน้าประเทศสิงคโปร์ ราคาเบนซินออกเทน 95 ปรับราคาเพิ่มขึ้น +4.48 เหรียญ สหรัฐฯ มาเป็นราคา 105.39 เหรียญ สหรัฐฯ ราคาน้ำมันดีเซลราคาปรับราคาลดลง +8.18 เหรียญ สหรัฐฯ มาเป็นราคา 109.41 เหรียญสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเฉลี่ยรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 4% จาก Reuters รายงานซาอุดีอาระเบียจะขยายเวลาขยายเวลาลดการผลิตน้ำมันดิบแบบสมัครใจปริมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ออกไปอีก 1 เดือนจากปัจจุบันสิ้นสุดเดือน ส.ค. 66 เป็นเดือน ก.ย. 66 อย่างไรก็ตาม โดยวันที่ 2 ส.ค. 66 ราคา NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำกว่า 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน หลังสถาบัน Fitch Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Long-Term Issuer Default Rating: IDR ) ของสหรัฐฯ ลง 1 ขั้น
ด้านปัจจัยพื้นฐาน EIA รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ที่สหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด 28 ก.ค. 66 ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 17 ล้านบาร์เรล ลดลงรายสัปดาห์มากสุดเป็นประวัติการณ์ (นักวิเคราะห์จาก Reuters คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อน ) ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบในคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve : SPR) อยู่ที่ 346.8 ล้านบาร์เรล ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2526
คาดการณ์ราคา ICE Brent สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 80-85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จับตาการประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC+ ที่จะจัดขึ้นแบบออนไลน์ 4 ส.ค. 66 โดย Reuters คาดการณ์ว่า OPEC+ จะคงนโยบายลดการผลิตน้ำมันดิบ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปี 2567
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
* Eurostat รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonized Indices of Consumer Prices: HICP) บ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ของยูโรโซน (20 ประเทศ) ในเดือน ก.ค. 66 จากปีก่อนอยู่ที่ +5.3% ต่ำสุดตั้งแต่เดือน ม.ค. 65
* Reuters รายงาน OPEC ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ก.ค. 66 ลดลง 840,000 บาร์เรลต่อวัน จากเดือนก่อนอยู่ที่ 27.34 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดีอาระเบียผลิตลดลงจากเดือนก่อน 860,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
* Alibek Zhamauov รมว.พลังงานของคาซัคสถาน แถลงว่าบริษัท Tengizchevroil ปิดซ่อมแซมฉุกเฉินแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Tengiz (610,000 บาร์เรลต่อวัน) ในวันที่ 26-27 ก.ค. 66 ส่งผลให้ปริมาณการผลิตลดลงประมาณ 88,000 – 95,000 บาร์เรลต่อวัน และมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปีตั้งแต่ 1 ส.ค. 66 เป็นระยะเวลา 40 วัน
* McKinsey & Company รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์ทั่วโลกในเดือน มิ.ย. 66 ลดลงจากเดือนก่อน 19 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ 4,560 ล้านบาร์เรล ลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.พ. 66 จากปริมาณสำรองของประเทศกำลังพัฒนา (Non-OECD) ลดลง หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
* 27 มิ.ย. 66 ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% (เพิ่มขึ้นเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกัน) ทำให้อัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate, Main Refinancing Operations Rate และ Marginal Lending Facility Rate อยู่ที่ระดับ 3.75%, 4.25% และ 4.5% ตามลำดับ
* ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ 5.25-5.50% สูงสุดในรอบ 22 ปี เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ +2% จากปีก่อน
* กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ยกเลิกการซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ปริมาณ 6 ล้านบาร์เรล ที่ประกาศเมื่อ 7 ก.ค. 66 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ เคยระบุเกณฑ์การเข้าซื้อที่ช่วงราคา 67-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล