นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงความสำเร็จของงานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับ ครั้งที่ 67 (Bangkok gems and Jewelry fair :BGJF 67th Edition) พร้อมด้วยนายกีรติ รัชโน รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เอกอัครราชทูต และคณะทูต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ห้องจูปิเตอร์ 4-7 อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีแถลงความสำเร็จงานแสดงสินค้า อัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Gems and Jewelry Fair ครั้งที่ 67 ในวันนี้ เป็นการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 2 ปี
ในช่วงปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเผชิญความท้าทาย ต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การระบาดของโรคโควิด-19 จนถึง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนโลจิสติกส์ ที่ส่งผลกระทบกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลกในปัจจุบัน
ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตนได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดการส่งออกเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้า อัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของโลก มุ่งเน้นรักษาตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ และฟื้นฟูตลาดเก่าที่เคยเป็นตลาดสำคัญ และใช้ยุทธศาสตร์การสร้างพันธมิตรในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับกับตลาดเป้าหมาย ด้วยการจัดทำ Mini FTA ที่ลงลึกระดับเมือง/รัฐ/มณฑลที่มีศักยภาพ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการเป็นพันธมิตรในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ กับเมืองโคฟุ จังหวัดยามานาชิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของญี่ปุ่น เพื่อเสริมศักยภาพของกันและกันในการยกระดับอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน
ผลการผลักดันการส่งออกเชิงรุกตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29.8 ในปี 2564 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า สามารถนำรายได้เข้าประเทศ 194,950 ล้านบาท และในปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 234,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกมีมูลค่าสูงถึง 149,842 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.64
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เนื่องจากมีผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมถึงกว่าร้อยละ 90 มีการจ้างแรงงานในห่วงโซ่อุปทานถึงกว่า 664,000 คน นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยยังมีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญด้านการผลิต ช่างฝีมือที่เปี่ยมด้วยทักษะและฝีมืออันประณีตในการคัดสรร การเจียระไน การขึ้นรูป รวมถึงการออกแบบ ซึ่งจากศักยภาพดังกล่าว รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
Bangkok Gems and Jewelry Fair เป็นงานแสดงและเป็นเวทีการค้าสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยได้พบเจรจาการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก ในช่วงระยะเวลาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มีการปรับรูปแบบการจัดงานสู่งานแสดงสินค้าเสมือนจริง ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายผ่านการจับคู่เจรจาการค้าออนไลน์ครั้งละกว่า 500 ล้านบาท
ในวันนี้ ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่งานแสดงสินค้า Bangkok Gems and Jewelry Fair สามารถกลับมาจัดงานได้อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายที่มาร่วมงานในครั้งนี้ โดยมีผู้ประกอบการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมาจัดแสดงสินค้า จำนวน 1,020 บริษัท พื้นที่ 2,004 คูหา โดย Exhibitor มีจำนวนสูงกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อยละ 30
การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้ซื้อจากทั่วโลกเดินทางมาเจรจาการค้ามากกว่า 15,000 ราย คาดว่าจะมียอดการซื้อขายภายในงานสูงถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 20 ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งไว้
สุดท้ายนี้ ตนขอแสดงความยินดีกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสถาบันวิจัยและพัฒนอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วน ที่ร่วมผนึกกำลังกันจัดงานนี้จนประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ส่งผลให้งาน Bangkok Gems and Jewelry Fair ก้าวขึ้นมาเป็นงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเซีย และติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก